หู-ตา-คอ-จมูก...
กับอันตรายที่เกิดขึ้นบ่อยๆ...
“ภัยใกล้ตัว”ที่มีมาให้แก้ไขรักษากันอยู่เรื่อยๆ หลายๆคนอาจนึกไม่ถึง
เพราะมันคือ...กาวตราช้าง... เปล่าครับ! ไม่ได้กล่าวหาว่านี่คือผลิตภัณฑ์ที่เลวร้าย เพราะยังเห็นถึงคุณประโยชน์ ซ้ำยังเป็นลูกค้าขาประจำกันอยู่ ด้วยว่ายังชอบใจในการใช้งานง่าย-ติดเร็ว ติดทน ที่ใครๆก็ติดใจ
“กาวตราช้าง”(super Glue)
ทำมาจากส่วนผสมของยางอีพ็อกซี่ และอาคลิลิคซึ่งทำจากสารปิโตรเลียม ยามใดที่มันยังอยู่ในหลอดที่ปิดผนึกแน่นมันก็จะคงสภาพเป็นของเหลว แต่เมื่อใดที่เริ่มเปิดออกมาใช้ นั่นหมายถึงมันเริ่มโดนความชื้นแล้ว และลักษณะของบรรจุภัณฑ์ที่มักแข็งตัวที่ด้านปากหลอด ทำให้ผู้ใช้ต้องออกแรงบีบเมื่อจะใช้งานในครั้งต่อไป และนั่นเองที่มักจะทำให้น้ำกาวพลังช้างถูกดันจนพุ่งทะลุปรี๊ดออกมาทางก้นหลอด...
ดังนั้น ข้อเด่นที่ติดเร็วติดทนของมัน ก็ต้อง กลับกลายเป็นภัยกว่ากาวอื่นๆ
หากผู้ใช้ตั้งตนอยู่ในความประมาท...
“ น้องกร”จอมซ่าส์วัย 6ขวบ ต้องร้องไห้โฮลั่น เมื่อไอ้มดแดงไรเดอร์เอ็กซ์ ตุ๊กตาพลาสติกตัวเล็กๆ มีอันต้องขาหลุด (ก็ด้วยฝีมือของน้องกรเอง) “พี่กานต์”พี่ชายที่แสนดีวัย 9ขวบ จึงรี่เข้ามาถามไถ่ปลอบโยนน้องชายครู่นึง แล้วจึงเดินไปหยิบกาวตราช้างที่ห้องเก็บของ แล้วจัดแจงบีบหลอดกาวเพื่อช่วยต่อขาไอ้มดแดง แต่ด้วยกาวที่คงจะเริ่มแห้ง พี่กานต์ของเราจึงออกแรงบีบมากกว่าปกติ ผลก็คือ...แทนที่น้ำกาวจะพุ่งออกทางหัวหลอด ก็ดันทะลุพรวดออกมาทางก้นหลอด!...นั่นคงไม่มีปัญหาอะไร ถ้าน้องกรไม่ได้กำลังยืนอยู่ตรงนั้น...และน้ำกาว”พลังช้าง” กระเซ็นเข้าตาอย่างแม่นยำ! แต่เดชะบุญ...คงด้วยเพราะน้องกระพริบตาอย่างทันท่วงที น้ำกาวจึงไม่ทันไปโดนลูกนัยน์ตา แต่นั่นก็ทำให้หนุ่มน้อยลืมตามึ้นเพราะหนังตาบน-หนังตาล่าง และขนตาติดกันไปหมดด้วยฤทธิ์ของกาว
คำแนะนำในกรณีนี้ก็คือ ห้ามดึงหนังตาบนและล่าง(ที่กำลังติดหนึบ) ให้แยกออกจากกัน เพราะขืนทำอย่างนั้นล่ะก็ ทั้งขนตา-หนังตามีหวังฉีกขาด
แล้วก็เจ็บอย่าบอกใครเชียว...
วิธีแก้ไขก็คือ ...ก่อนอื่น ให้ใช้น้ำอุ่นๆเช็ดรอบๆดวงตา –เปลือกตาเบาๆ แล้วก็รีบไปพบแพทย์ครับ หรือหากจะมีเศษกาวเข้าตา ไม่ว่าจะเป็นกระจกตา หรือเยื่อบุตาขาว ก็ให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดๆ ล้าพาไปให้คุณหมอตรวจ เพราะมักจะเกิดอาการระคายเคืองภายในดวงตา ตาแดง และปวดตา สำหรับในรายของน้องกรที่ตกใจจนร้องไห้จ้า คุณแม่ของหนูน้อยกลับตกใจยิ่งกว่าเพราะเมื่อเห็นสภาพลูกชายแล้วก็ได้แต่ภาวนาในใจว่า...อย่าให้ลูกต้องตาบอดเลย.....แต่เมื่อคุณหมอเช็คดูอย่างละเอียดแล้ว กระจกตาไม่มีเศษวัสดุใดๆ ไม่มีอาการอักเสบ จึงทำให้เบาใจไปได้มาก
นอกจากตาแล้ว... “หู”ก็เป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่เคยโดนกาวพลังช้างเล่นงานมานักแล้ว
เช่นในรายของเด็กที่เล่นพิเรนแกล้งเพื่อนที่กำลังนั่งหลับ ด้วยการเอากาวตราช้างหยอดใส่หูเพื่อน
“จมูก”ก็เช่นกัน ที่เคยตกเป็นเหยื่อของกาวตราช้างมาแล้ว ...รายของเด็กหญิงวัย 7ขวบที่กำลังทำงานศิลปะส่งคุณครู ด้วยการสร้างบ้านด้วยไม้ไอติมโดยใช้กาวตราช้างเชื่อมต่อ
แต่แล้วระหว่างการบีบๆๆๆหลอดอยู่นั้น น้ำกาวก็กลับพุ่งทะลุย้อนเข้าสู่รูจมูกของสาวน้อยอย่างคาดไม่ถึง ... เท่านั้นก็แย่แล้ว...แต่มันยิ่งแย่กว่านั้น...เมื่อมันไหลลงไปใน “คอ”!
พวกเราในฐานะผู้บริโภคจึงควรต้องระมัดระวังให้มากในการใช้สินค้าประเภทนี้…
1 ) ควรเก็บเจ้ากาวพลังช้างให้พ้นมือเด็กๆ และต้องถือได้ว่าเจ้าผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ไม่เหมาะสำหรับเด็กที่จะเอามาใช้โดยพลการ
2 ) จากการที่มันมักจะแข็งตัวไว จากการใช้เพียงครั้งแรกๆ หลายๆบ้านจึงมักแก้ปัญหาด้วยการเอาเก็บเข้าตู้เย็น ซึ่งนั่นกลับเป็นการเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาร้ายแรง...เพราะด้วยรูปทรงของมันที่ใกล้เคียงกับหลอดใส่ขนมประเภทเยลลี่ หรือช็อกโกแลต ที่เด็กอาจหยิบฉวยแล้วบีบใส่ปากเพราะเข้าใจผิด หรือกระทั่งผู้ใหญ่ที่เผลอหยิบออกมาใช้เพราะคิดว่า...มันคือ ยาหยอดตา
3 ) นอกจาก ตา –หู –คอ –จมูก ที่มักต้องตกเป็นเหยื่อของกาวอันตรายที่ว่าแล้ว
นิ้วมือที่มักติดกันจนแน่นด้วยพลังของกาว ทำให้หลายๆคนต้องเกิดเป็นแผลอักเสบโดยเฉพาะเด็กๆที่ยังขาดการระมัดระวัง หนำซ้ำบางคนยังเผลอใช้นิ้วไปเกลี่ยๆกาวดังเช่นการทากาวธรรมดาทั่วๆไป จึงควรต้องเตือนเด็กๆ และสอนวิธีการใช้ว่าแตกต่างกับการใช้กาวอื่นๆอย่างไร? เช่น จะต้องบีบเพียงเบาๆ ให้เป็นเพียงหยดเล็กๆที่จุดที่ต้องการเชื่อมต่อเท่านั้นและห้ามใช้นิ้วหรือส่วนใดๆในร่างกายไปสัมผัสแตะต้อง แต่หากนิ้วใดไปโดนกาวนี่เข้า ก็ให้รีบแช่น้ำไว้(จะได้ไปไปติดหนึบเข้ากับนิ้วอื่นๆด้วย กาวจะแข็งตัว และจะร่อนหลุดออกในเวลาต่อมา หรือหากนิ้วติดกันก็ให้จุ่มลงไปในน้ำสบู่
4 ) หลายประเทศได้เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ที่เดิมเคยเหมือนกับ หลอดยาป้ายตา ยาหยอดแก้คัดจมูก ให้มีขนาดและรูปร่างที่ต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด
ตายเพราะของติดคอ !
เด็กๆที่ต้องเสียชีวิตเพราะกลืนคอแล้วเกิดติดคอ อุดหลอดลม ปรากฎเป็นข่าวบ่อยๆ อย่างไม่เคยจางหายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์
*ไม่ว่าจะเป็นข่าวทารกน้อย(11 เดือน) ที่กลืนน้อตยาว 1ซ.ม. ที่พ่อเก็บอยู่ในขวดกระทิงแดง แล้วเผลอวางไว้บนพื้น แล้วคุณยายก็เข้าครัวทำกับข้าว
ปล่อยให้หลานนั่งเล่นอยู่คนเดียว ( สระบุรี)
* เด็กน้อยวัย แค่ 1ขวบ กลืนกระดุมแป๊ะ(โลหะ)เข้าไปติดหลอดลม จนขาดอากาศหายใจ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา เบื้องหลังของกรณีสลดใจนี้ก็คือ...เด็กอยู่ในบ้านที่ผลิตกระเป๋าใส่สตางค์ โดยมีกระดุมแป๊ะเป็นส่วนประกอบสำคัญ ที่มักจะตกอยู่ตามพื้น
เพราะกวาดเก็บกวาดที่ไม่เกลี้ยงพอ กระทั่งกลายเป็นเหตุแห่งการคร่าชีวิตเด็กน้อยไร้เดียงสา (ปทุมธานี)
* เด็กชายวัย 2ขวบ นั่งหม่ำลูกเชอรี่(ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 2 ซ.ม.)..เข้าไปทั้งลูก โดยไม่ได้เคี้ยว ทำให้ลูกเชอรี่หล่นผลุบลงไปอุดหลอดลม แล้วเกิดอาการช็อคจนหมดสติ แม้ว่าเมื่อถึงโรงพยาบาลแพทย์จะพยายามผายปอด และนำสิ่งอุดตันจากหลอดลม แต่ก็ไม่ทันการในที่สุดเด็กก็ต้องเสียชีวิต ( ลำปาง)
* แล้วรายล่าสุด เมื่อเร็วๆนี้เอง.....ที่มีเด็กหญิงวัย 5 ขวบ ร่างกายไม่สมประกอบนัก
จู่ๆก็กลืน “ลูกแก้ว”ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซ.ม. ในขณะที่คุณแม่มือซ้ายกำลังอุ้มน้องคนเล็ก
ส่วนมือขวาก็ถูพื้นทำงานบ้านไปด้วย พบเข้าอีกทีก็กำลังนอนชักดิ้นชักงอ ยังดีที่ทีเจ้าลูกชายคนกลาง(4 ขวบ)ใช้ทั้งภาษาพูดและภาษามือ จนแม่รู้ว่าลูกสาวกลืน “ลูกแก้ว “เข้าไป
จนเมื่อพ่อกลับมา จึงได้ “รวมพลัง”กับคุณแม่ ช่วยกันเอาลูกแก้วออกจากหลอดลมของลูก
สาว ด้วยการ...บีบเคล้นที่ลำคอของลูกสาวอย่างเต็มที่ ! กระทั่งลูกแก้วก็หลุดผลั้วออกมาจนได้แต่...แทนที่ลูกสาวจะรู้สึกตัว กลับกลายเป็นแน่นิ่ง...แล้วในที่สุดก็เสียชีวิตอย่างคาดไม่ถึง …
ข้อแนะนำ.................
1 )) ธรรมชาติของเด็กๆในวัย ไม่เกิน 3ขวบ มักชอบหยิบฉวยสารพัดสิ่งเข้าปากอยู่เป็นประจำ ฉะนั้น...นอกจากคุณพ่อคุณแม่จะต้องเก็บกวาดพื้นบ้านให้เกลี้ยง อย่าให้มีเศษวัสดุใดๆตกอยู่ตามพื้นบ้านไม่ว่าจะเป็นเศษเหรียญ เมล็ดผลไม้ และที่อันตรายสุดก็คือ......เม็ดยา ดังนั้น หลักของการดูแลเด็กในวัยนี้ก็คือ “อย่าให้คลาดสายตา ”อย่างเด็ดขาด...
2 )) ในยามกินอาหารก็ควรดูแลอย่างใกล้ชิด อาหารสำหรับเด็กเล็กก็จะต้องหั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ เวลาจะป้อนอาหารลูกก็ควรให้เพียงคำเล็กๆ แล้วรอให้เด็กทานจนหมดปากจึงค่อยป้อนอีก (ไม่ยัดเยียดจนเต็มปาก )
3 )) คงเคยได้พบภาพ ที่คนเลี้ยงเด็ก มือขวาถือช้อน มือซ้ายถือจานข้าวแล้วเดินตาม –วิ่งตามเด็กน้อยผู้ไม่อยู่นิ่ง ที่หม่ำข้าวไปด้วย วิ่งหรือกระโดดโลดเต้นนั้น มันเสี่ยงต่อการสำลักอาหารอย่าง
4 )) ก็เข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่รีบ ...เดี๋ยวรถโรงเรียนจะมา ...จะไม่ทันเข้าห้องเรียน...เดี๋ยวจะไปทำงานสาย..........แต่ผมว่าลองเข้านอนแต่หัวค่ำ และตื่นให้เช้าอีกหน่อยก็น่าจะมีเวลาเหลือ ดีกว่าที่จะเสียอารมณ์กันแต่เช้า ต้องมาเร่งเร้ากันจนเครียดกันไปซะหมด
“ กินเร็วๆๆๆ ...รีบๆกินเข้าไป เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย...เดี๋ยวรถติดพ่อกับแม่จะไปทำงานสาย....ฯลฯ.... ” เร่งๆกันอย่างนี้นอกจากทำให้ลูกๆเป็นทุกข์ กินอาหารไม่อร่อย ระบบย่อยจะมีปัญหา แล้วก็ยังเสี่ยงต่อการสำลัก จนอาหารติดคอติดหลอดลมได้ครับ...อันตรายไม่น้อยเลย
5 )) อาหารชิ้นโตๆ ก้อนกลมๆ หรือแข็งๆ ลื่น กลืนยากหรือเคี้ยวลำบาก เช่น ไส้กรอก ลูกชิ้น ข้าวเหนียว ตังเม ถั่วตัด ...ฯลฯ... หากจะให้ลูกๆกิน ก็จะต้องตัดแบ่งเป็นคำเล็กๆด้วยนะครับ เพื่อป้องกันการติดคอ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นได้เสมอ
6 )) เด็กในวัยไม่เกิน 3ขวบ มักจะชอบสำรวจโลกด้วยการหยิบของใส่ปาก โดยเฉพาะเมื่อเห็นชิ้นอะไรจิ๋วๆที่ตกอยู่ตามพื้น ก็มักจะพิสูจน์ทราบโดยการหยิบขึ้นมาดูแล้วเอาเข้าปากทันที... ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดผลไม้ทั้งหลาย ( เมล็ดน้อยหน่า –มังคุด-ละมุด-ลำไย ซึ่งมีโอกาสเข้าไปขวางหลอดลม จนเด็กขาดอากาสหายใจ ) หรือที่อันตรายสุดๆ เพราะทำให้เด็กหลายคนต้องเสียชีวิต ก็คือ...เม็ดยารักษาโรคต่างๆ ที่ผู้ใหญ่ในบ้านเผอเรอทำตกหล่น ให้เด็กเก็บไปหย่อนใส่ปากโดยคิดว่าเป็นขนม
ทั้งเมล็ดผลไม้ เม็ดยา หรือวัสดุต่างๆที่หล่นตามพื้น นอกจากเด็กๆจะเอาเข้าปากแล้ว หลายๆคนยังจับยัดใส่จมูกตัวเอง จนบาดเจ็บหรือเสียชีวิตมาแล้วครับ...
“ หู –ตา –คอ –จมูก ”
คืออวัยวะรับสัมผัสที่สำคัญยิ่ง ขอให้คุณพ่อคุณแม่โปรดช่วยกันดูแลและป้องกัน เพื่อให้เด็กๆของเรา มีชีวิตที่รึ่นรมย์ ได้มีโอกาสซึมซับรับรู้
ความไพเราะ...ความงดงาม...ความเอร็ดอร่อย...และความหอมชื่นใจ จากสรรพสิ่งทั้งมวล
ของโลกอันแสนงดงามใบนี้ ....ตลอดไป...........