สมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัยในการทำงาน (ประเทศไทย) ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

head training

สารพิษ  ( Poisons)

สารพิษ หมายถึง  สารเคมีที่มีสภาพเป็นของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซ ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายโดย การรับประทาน การฉีด การหายใจ หรือการสัมผัสทางผิวหนัง แล้วทำให้เกิดอันตรายต่อโครงสร้างและหน้าที่ของร่างกาย ด้วยปฏิกิริยาทางเคมี อันตรายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ คุณสมบัติ ปริมาณ และทางที่ได้รับสารพิษนั้น

ชนิดของสารพิษ

      สารพิษที่ทำให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์มาจากหลายแหล่งด้วยกัน อาจเป็นพิษจากสัตว์ เช่น  งูพิษ ผึ้ง แมลงป่อง   พิษจากพืช เช่น เห็ดพิษ ลำโพง   พิษจากแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น ตะกั่ว ฟอสฟอรัส สารหนู   และ พิษจากสารสังเคราะห์ต่าง ๆ เช่น  ยาฆ่าแมลง ยาปราบวัชพืช ยาอันตราย  รวมทั้งสารสังเคราะห์ที่ใช้ในครัวเรือนเช่น น้ำยาฟอกขาว น้ำยาขัดห้องน้ำ  เป็นต้น

สารพิษสามารถจำแนกตามลักษณะการออกฤทธิ์ ได้  1 ชนิด ดังนี้

  • ชนิดกัดเนื้อ (Corrosive )   สารพิษชนิดนี้จะทำให้เนื้อเยื่อของร่างกายไหม้  พอง ได้แก่  สารละลายพวก กรดและด่างเข้มข้น  น้ำยาฟอกขาว
  • ชนิดทำให้ระคายเคือง  (Irritants )      สารพิษชนิดนี้จะทำให้เกิดอาการปวดแสบ    ปวดร้อน และอาการอักเสบในระยะต่อมา ได้แก่  ฟอสฟอรัส  สารหนู  อาหารเป็นพิษ  ซัลเฟอร์ไดออกไซด์
  • ชนิดที่กดระบบประสาท (Narcotics )   สารพิษชนิดนี้จะทำให้หมดสติ หลับลึก ปลุกไม่ตื่น ม่านตาหดเล็ก ได้แก่  ฝิ่น  มอร์ฟีน พิษจากงูบางชนิด
  • ชนิดที่กระตุ้นระบบประสาท (Dililants)   สารพิษชนิดนี้จะทำให้เกิดอาการเพ้อคลั่ง ใบหน้าและผิวหนังแดง ตื่นเต้นชีพจรเต้นเร็ว ช่องม่านตาขยายได้แก่  ยาอะโทรปีน ลำโพง

การประเมินภาวะการได้รับสารพิษ

       การได้รับสารพิษ เป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการปฐมพยาบาลที่รีบด่วน และเฉพาะเจาะจง ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ จะต้องประเมินจำแนกให้ได้ว่าอาการผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยนั้น  ว่าเกิดจากสารพิษใด นอกจากประเมินอาการแล้ว ยังจำเป็นต้องสังเกตสภาพการณ์ สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยร่วมด้วย ดังนี้

  • การคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง น้ำลายฟูมปาก หรือมีรอยไหม้นอกบริเวณริมฝีปาก มีกลิ่นสารเคมีบริเวณปาก
  • เพ้อ ชัก หมดสติ  มีอาการอัมพาตบางส่วนหรือทั่วไป  ขนาดช่องม่านตาผิดปกติ อาจหดหรือขยาย
  • หายใจขัด หายใจลำบาก มีเสมหะมาก มีอาการเขียวปลายมือปลายเท้า  หรือบริเวณริมฝีปาก   ลมหายใจมีกลิ่นสารเคมี
  • ตัวเย็น  เหงื่อออกมาก  มีผื่นหรือจุดเลือดออกตามผิวหนัง

สภาพการณ์หรือสิ่งแวดล้อมที่บ่งชี้ถึงภาวะการได้รับสารพิษ

  • เกิดอาการผิดปกติขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน โดยที่ผู้ป่วยเป็นคนที่แข็งแรงสมบูรณ์มาก่อน
  • เกิดอาการขึ้นกับคนหลาย ๆ คน  หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน
  • ในบริเวณที่พบผู้ป่วยมีภาชนะบรรจุสารพิษ  หรือเป็นแหล่งของสัตว์มีพิษ  เช่น งูพิษ  แมงป่อง แมงกะพรุนไฟ
  • มีปัญหาทางด้านจิตใจ ได้แก่  เป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่หาย มีประวัติพยายามฆ่าตัวตาย ผิดหวังในชีวิต หรือการทำงาน มีศัตรูปองร้าย

การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษ

จำแนกตามวีถีทางที่ได้รับ  ๓  ทาง ดังนี้

  • การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางปาก
  • การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางการหายใจ
  • การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางผิวหนัง

การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางปาก

ผู้ช่วยเหลือต้องทำการประเมินผู้ที่ได้รับสารพิษก่อน  แล้วจึงพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือ  ดังนี้

  • ทำให้สารพิษเจือจาง  ในกรณีรู้สึกตัวและไม่มีอาการชัก  โดยการดื่มน้ำชาซึ่งหาได้ง่าย แต่ถ้าได้นมจะดีกกว่า เพราะว่าจะช่วยเจือจางสารพิษแล้ว ยังช่วยเคลือบและป้องกันอันตรายต่อเยื่อบุทางเดินอาหาร
  • นำส่งโรงพยาบาล  เพื่อทำการล้างท้องเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหาร
  • ทำให้ผู้ป่วยอาเจียน  เพื่อเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหาร ในกรณีที่ต้องใช้เวลานานในการนำส่งผู้ป่วย  เช่น  ใช้นิ้วล้วงคอ ใช้ไม้พันสำลีกวาดคอซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้ รู้สึกอยากขย้อน อยากอาเจียน

ข้อห้ามในการทำให้ ผู้ป่วยอาเจียน

  • หมดสติ
  • ได้รับสารพิษชนิดกัดเนื้อ เช่น กรด ด่าง
  • รับประทานสารพิษพวก น้ำมันปิโตรเลียม เช่น น้ำมันก๊าด เบนซิน
  • มีสุขภาพไม่ดี  เช่น โรคหัวใจ

๔. ให้สารดูดซับสารพิษในระบบทางเดินอาหาร  เพื่อลดปริมาณการดูดซึมสารพิษเข้าสู่ร่างกาย สารที่ใช้ได้ผลดี คือ Activated charcoal มีลักษณะเป็นผงถ่านสีดำ ใช้ ๑ ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำ ๑ แก้ว ให้ ผู้ป่วย ดื่ม  ถ้าหาไม่ได้ อาจใช้ไข่ขาว ๓ - ๔ ฟอง ตีให้เข้ากันให้ ผู้ป่วยรับประทาน  ซึ่งควรใช้ในกรณีดังต่อไปนี้

  • รับประทานสารพิษเข้าไปเกินครึ่งถึง ๑ ชั่วโมง เพราะสารพิษผ่านกระเพาะอาหารลงไปยังลำไส้แล้ว การให้อาเจียนอาจไม่ได้ผล
  • หลังจากทำให้อาเจียนแล้ว ไม่แน่ใจว่าสารพิษจะถูกขับออกมาหมดโดยการอาเจียน
  • ไม่สามารถทำให้ ผู้ป่วยอาเจียนได้
  • นำส่งโรงพยาบาล เมื่อให้การปฐมพยาบาลแล้ว  ขณะนำส่งให้สังเกต อาการและอาการแสดง ตลอด เวลาและให้การช่วยเหลือถ้า  ผู้ป่วยหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้น โดยการนวดหัวใจและการผายปอด

การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารกัดเนื้อ (Corrosive substances )

กรด ด่าง เป็นสารเคมีที่พบในชีวิตประจำวัน  นำมาใช้ในครัวเรือน และโรงงานอุตสาหกรรม เช่น กรดซัลฟริก  กรดไฮโดรคลอริก  โซเดียมคาร์บอเนต

อาการและอาการแสดง

ไหม้พอง  ร้อนบริเวณริมฝีปาก  ปาก  ลำคอและท้อง  คลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำ และมีอาการภาวะช็อค ได้แก่ ชีพจรเบา ผิวหนังเย็นชื้น

การปฐมพยาบาล

  • ถ้ารู้สึกตัวดีให้ดื่มนม
  • อย่าทำให้อาเจียน
  • รีบนำส่งโรงพยาบาล

การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพวกน้ำมันปิโตเลียม

เป็นผลิตภัณฑ์ที่พบได้ทั้งในบ้านและโรงงานอุตสาหกรรม สารพวกนี้ได้แก่ น้ำมันก๊าด เบนซิน ยาฆ่าแมลงชนิดน้ำมัน เช่น DTT.

อาการและอาการแสดง

แสบร้อนบริเวณปาก คลื่นไส้ อาเจียน  ซึ่งอาจสำลักเข้าไปในปอดทำให้หายใจออกมามีกลิ่นน้ำมัน หรือมีกลิ่นน้ำมันปิโตเลี่ยม อัตราการหายใจและชีพจรเพิ่ม อาจมีอาการขาด ออกิเจน ซึ่งอาจรุนแรงมากมีเขียวตามปลายมือ ปลายเท้า ( Cyanosis )

การปฐมพยาบาล

  • รีบนำส่งโรงพยาบาล
  • ห้ามทำให้อาเจียน
  • ระหว่างนำส่งโรงพยาบาล ถ้าผู้ป่วยอาเจียน ให้จัดศีรษะต่ำ เพื่อป้องกันการสำลักน้ำมันเข้าปอด

การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับ ยาแก้ปวด ลดไข้

ยาแอสไพริน และพาราเซตามอล พบบ่อย ในเด็กที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และผู้ที่มีปัญหาทางด้านจิตใจ

อาการและอาการแสดง ของผู้ที่ได้รับ ยาแอสไพริน

หูอื้อ เหมือนมีเสียงกระดิ่งในในหู การได้ยินลดลง เหงื่อออกมาก ปลายมือปลายเท้าแดง ชีพจรเร็ว คลื่นไส้อาเจียน หายใจเร็ว ใจสั่น

อาการและอาการแสดง ของผู้ที่ได้รับ ยาพาราเซตามอล ( ไทรีนอล )

ยานี้จะถูกดูดซึมเร็วมาก โดยเฉพาะในรูปของสารละลาย  ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ง่วงซึม เหงื่อออกมาก ความดันโลหิตต่ำ สับสน เบื่ออาหาร

การปฐมพยาบาล

  • ทำให้สารพิษเจือจาง
  • ทำให้อาเจียน
  • ให้สารดูดซับสารพิษ ที่อาจหลงเหลือในระบบทางเดินอาหาร
  • ให้กำลังใจ เพื่อให้ ผู้ป่วยสงบ
  • นำส่งโรงพยาบาล


การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางการหายใจ

สารพิษที่เข้าสู่ทางการหายใจ ได้แก่ ก๊าซพิษ ซึ่ง แบ่งออกเป็น  ๓  ประเภท  ดังนี้

  • ก๊าซที่ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน เกิดอาการ วิงเวียน หน้ามืด เป็นลมหมดสติ ถึงแก่ความตายได้  เช่น คาร์บอนมอนนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจน ไนโตรเจน ปัจจุบันพบว่าก๊าซที่ทำให้เกิดปัญหาค่อนข้างบ่อย ได้แก่ คาร์บอนมอนนอกไซด์ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ ที่มีปัญหาการจราจรคับคั่ง อากาศเป็นพิษ คาร์บอนมอนนอกไซด์ เป็นก๊าซไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อหายใจเข้าไปในร่างกาย ก๊าซนี้จะแย่งที่กับออกซิเจนในการจับกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถไปยังเนื้อเยื่อทั่วร่างกายได้ ร่างกายจึงมีอาการของการขาดออกซิเจน ซึ่งถ้าช่วยเหลือไม่ทันจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต เช่น ในกรณีที่มีผู้เสียชีวิตในรถยนต์
  • ก๊าซที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ คอ หลอดลม และปอด ถ้าได้รับในปริมาณมากอาจทำให้ตายได้ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไม่มีสีแต่มีกลิ่นฉุน พบได้ในโรงงานอุตสาหกรรม ใช้ทำกรดกำมะถัน
  • ก๊าซที่ทำให้อันตรายทั่วร่างกาย ได้แก่ ก๊าซอาร์ซีน ไม่มีสีกลิ่นคล้ายกระเทียม พบได้ในโรงงานอุตสาหกรรมใช้ทำแบตเตอรี่ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เม็ดเลือดแดงแตก ปัสสาวะเป็นเลือด ดีซ่าน ตาเหลือง ตัวเหลือง

การปฐมพยาบาล

  • กลั้นหายใจและรีบเปิดประตูหน้าต่าง ๆ เพื่อให้อากาศถ่ายเท มีอากาศบริสุทธิ์เข้ามาในห้อง ปิดท่อก๊าซ หรือขจัดต้นเหตุของพิษนั้น ๆ
  • นำผู้ป่วย ออกจากบริเวณที่เกิดเหตุไปยังที่มีอากาศบริสุทธิ์
  • ประเมินการหายใจและการเต้นของหัวใจ ถ้าไม่มีให้ผายปอดและนวดหัวใจ
  • นำส่งโรงพยาบาล

การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางผิวหนัง

สารพิษที่สามารถเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่พบบ่อยเกิดได้แก่ สารเคมี และสารพิษที่เกิดจากการถูกสัตว์มีพิษกัดหรือต่อย  เช่น ต่อ แตน ผึ้ง ตะขาบ แมงป่อง แมงกะพรุนไฟ  งูพิษ

การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีถูกผิวหนัง

  • ล้างด้วยน้ำสะอาดนาน ๆ  อย่างน้อย 15 นาที
  • อย่าใช้ยาแก้พิษทางเคมี  เพราะความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาอาจทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น
  • บรรเทาอาการปวดและรักษาช็อค
  • ปิดแผล แล้วนำส่งโรงพยาบาล

การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีเข้าตา

  • ล้างตาด้วยน้ำนาน 15 นาที่ โดยการ เปิดน้ำก๊อกไหลรินค่อย ๆ
  • อย่าใช้ยาแก้พิษทางเคมี เพราะความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาอาจทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น
  • บรรเทาอาการปวดและรักษาช็อค
  • ปิดตา  แล้วนำส่งโรงพยาบาล

 
ที่มา : กรมแพทย์ทหารเรือ